วันพุธที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2557

M16 และ M4

ปืนเล็ก 5.56 มม,
M16  และ  M4

ปืนแห่งกองทัพสหรัฐฯ

ปืน  M16  เป็นปืนที่มีเกียรติประวัติในการรับใช้กองทัพสหรัฐฯ และหน่วยรักษากฎหมายต่าง ๆ ในสหรัฐฯ รวมทั้งประเทศพันธมิตรทั้งหลายมาอย่างยาวนาน สำหรับในภาคพลเรือนก็มีปืนแบบนี้ ใช้งานในชื่อ  AR-15  ซึ่งจะเป็นระบบกึ่งอัตโนมัติเท่านั้น  ปืนแบบ M16 ได้รับการผลิตทั้งในและนอกประเทศสหรัฐ โดยมีผู้ผลิตหลายราย  ได้แก่   Armalite , Bushmaster , colt , FN , Hesse , Les Baer , Olympic , Wilson Combat  และอื่น ๆ อีกมากในสหรัฐฯ   นอกประเทศสหรัฐฯ  ได้แก่  แคนนาดาและจีน  เป็นต้น  ปืนแบบ M16 นั้นได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องเป็นรุ่นต่าง  ๆ  จำนวนมาก และผ่านการยอมรับในการสู้รับ (Combat Proof)  ทั้งในกองทัพสหรัฐฯ และกองทัพชั้นนำของโลก  แม้แต่หน่วย SAS ของอังกฤษก็ยังใช้ปืน M16 มากกว่าปืน L85A1 ของอังกฤษเสียอีก
ประวัติความเป็นมา    M16

การพัฒนาและการรับใช้ในกองทัพสหรัฐฯ ของปืน เล็กยาว   5.56  มม.   M16   นั้นเป็นเรื่องที่ยาวมาก    ต่อไปนี้เป็นประวัติโดยย่อแต่เฉพาะที่มีความสำคัญเท่านั้น
ปี ค.ศ.1948   สำนักงานวิจัยและพัฒนา กองทัพบกสหรัฐฯ  (U.S. Army’s Operations Research Office,ORO)   ได้ดำเนินการวิจัยเกี่ยวกับประสิทธิภาพของอาวุธปืนเล็กจนสำเร็จลุล่วงในต้นปี ค.ศ.1950  โดยมีข้อสรุปว่า อาวุธปืนเล็กที่เป็นที่ต้องการมากที่สุดของทหารราบควรมี ขนาด .22 นิ้ว  ควบคุมการยิงได้ตามความต้องการ กระสุนมีความเร็วสูงและมีระยะยิงหวังผล 300 เมตรขึ้นไป
ปี ค.ศ.1953 - 1957  กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ได้ดำเนินการวิจัยขั้นต่อไปในโครงการ “Project SALVO”    ซึ่งในที่สุดก็ได้กระสุนความเร็วสูง   ขนาด .22  นิ้ว ตามที่ทหารราบต้องการ
ปี ค.ศ.1957   กองทัพบกสหรัฐฯ  ได้มอบหมายให้ บริษัท Armalite  ผลิตปืนเล็กยาว .22 นิ้ว  น้ำหนักเบา ควบคุมการยิงได้ตามความต้องการ และสามารถเจาะหมวกเหล็กกล้ามาตรฐานที่ระยะ 500 เมตรได้    Eugene  Stoner  นักออกแบบปืนของบริษัท Armalite  ได้เริ่มพัฒนาปืนเล็กยาวนั้น ขึ้นตามแบบปืนเล็กยาว 7.62 มม.  AR-10  ของเขา  ในขณะเดียวกันผู้เชี่ยวชาญลูกปืนที่บริษัท Sierra Bullets , บริษัท Remington และบริษัท Armalite ได้เริ่มพัฒนาลูกปืน .22 นิ้ว ขึ้นใหม่ตามแบบลูกปืน .222 Remington และ .22 Remington Magnum   เป็นลูกปืน .222 Remington Special   ซึ่งต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็น  .223  Remington (5.56x45)

รูปภาพอาวุธปืน   AR-10 
          ปี ค.ศ.1958  บริษัท Armalite   ได้จัดส่งปืนใหม่ที่ตั้งชื่อว่า  AR-15   ให้กองทัพบกสหรัฐฯ  ทดสอบ  ซึ่งในเบื้องต้นนั้นยังมีปัญหาเกี่ยวกับความน่าเชื่อถือและความแม่นยำ
ปี ค.ศ.1959 บริษัท Armalite   ซึ่งผิดหวังจากการพัฒนาปืน AR-15   ได้ขายแบบปืนให้ บริษัท   Colt

รูปภาพอาวุธปืน   AR-15
                ปี ค.ศ.1960    Eugene Stoner   ลาออกจากบริษัท  Armalite   ไปเข้าทำงานที่บริษัท Colt ในปีเดียวกันนี้ บริษัท  Colt  ได้สาธิตปืน AR-15  ให้ รองเสนาธิการทหารอากาศสหรัฐฯ ชม  ซึ่งในที่สุดท่านได้สั่งซื้อปืนเล็กยาว AR-15  จำนวน 8,000 กระบอก ให้แก่ กองทัพอากาศสหรัฐฯ  เพื่อใช้งานทดแทนปืนเล็กสั้น (Carbine)   .30 นิ้ว M1 และ M2
ภาพอาวุธปืน  M1 carbine
          ปี ค.ศ.1962  กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ  ได้จัดซื้อปืนเล็กยาว AR-15  จำนวน 1,000 กระบอก จากบริษัท Colt และได้ส่งไปใช้ยังเวียดนามใต้เพื่อใช้งานในสนาม
ปี ค.ศ.1963  บริษัท Colt  ได้ลงนามในสัญญาผลิตปืนเล็กยาว จำนวน 85,000 กระบอก ให้แก่กองทัพบกสหรัฐฯ ในชื่อปืน  XM16E1  และอีก จำนวน 19,000 กระบอก สำหรับ กองทัพอากาศสหรัฐฯ  ในชื่อปืน M16  ของกองทัพอากาศสหรัฐฯ  นั้นไม่มีตราอักษร AR-15 ปืน XM16E1  แตกต่างจากปืน AR-15 หรือ   M16 ตรงที่มีคันส่งลูกเลื่อนเพิ่มขึ้นมา     เพื่อให้สามารถใช้มือดันชุดลูกเลื่อนให้เข้าที่เพื่อป้องกันปืนติดขัด
ปี ค.ศ.1964  กองทัพอากาศสหรัฐฯ  ได้รับปืน M16 เข้าประจำการอย่างเป็นทางการ  ในปีนี้กองทัพบกสหรัฐฯ   ก็ได้รับปืน XM16E1  เข้าประจำการทดแทนปืนเล็กยาว  7.62  มม.  M14
รูปภาพ อาวุธปืน  M14

                ปี ค.ศ.1965  ได้มีการผลิตปืนเล็กสั้นแบบปืน M16  เป็นรุ่นแรกในชื่อปืน CAR-15  โดยมีความตั้งใจเพื่อให้หน่วยรบพิเศษสหรัฐฯ ใช้ในสงครามเวียดนาม  ปืนเล็กสั้นนี้มีลำกล้องสั้นกว่าปืน M16 ถึงครึ่งหนึ่ง  นั่นคือ  จาก  20 นิ้ว  ลดลงเหลือ  10 นิ้ว  และลดความยาวพานท้ายปืนลงอีก  3 นิ้ว  พานท้ายปืนเป็นพลาสติก ครอบลำกล้องทรงสามเหลี่ยมและปลอกลดแสง ก็ยังคงเป็นแบบสามงามเหมือนเดิม  นอกจากนั้น  บริษัท Colt ยังได้พัฒนาปืนเล็กสั้นจาก รุ่น CAR-15 เป็นรุ่นปืนดำรงชีพของกองทัพอากาศสหรัฐฯ  เพื่อให้นักบินที่เครื่องตกใช้งาน   โดยมีครอบลำกล้องเป็นทรงกลม  พานท้ายปืนเป็นโลหะปรับเลื่อนได้  และมีด้ามปืนสั้นลง


รูปภาพอาวุธปืน  CAR-15

ปี ค.ศ.1966  บริษัท Colt   ได้ลงนามในสัญญาฉบับใหม่ในการผลิตปืน   จำนวน 840,000 กระบอก ให้แก่กองทัพสหรัฐฯ  ซึ่งมีมูลค่าถึง 92 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
ปี ค.ศ.1967   กองทัพบกสหรัฐฯ  ได้รับปืน  XM16E1  เป็นปืนมาตรฐานของกองทัพสหรัฐฯ ในชื่อปืนเล็กยาว 5.56  มม.  M16A1  เมื่อวันที่  28 กุมภาพันธ์

รูปภาพ อาวุธปืน M16A1
                ปี ค.ศ.1965-1967 รายงานผลการใช้งานปืนภาคสนามจากเวียดนาม ไม่เป็นที่น่าพอใจ ปืนเล็กยาว M16   ที่แจกจ่ายให้ทหารสหรัฐฯ ทำงานติดขัดในระหว่างสู้รบ  ส่งผลให้เกิดความสูญเสียอย่างมาก  การติดขัดนั้นมีหลายสาเหตุด้วยกันกล่าว   คือ ในระหว่างแนะนำปืนและลูกปืนใหม่ที่จะนำมาใช้ในกองทัพนั้นทางกองทัพบกสหรัฐฯ ได้ เปลี่ยนคุณลักษณะเฉพาะของดินขับ จากดิน  Dupont  IMR   เป็นดินขับมาตรฐานที่ใช้ในลูกปืน 7.62  มม. x 51 NATO เดิม   ดินขับดังกล่าวนั้นมีเขม่ามาก ทำให้ชุดลูกเลื่อนของปืน M16 ติดขัดอย่างรวดเร็วถ้าไม่ได้ทำความสะอาดปืนอย่างดีและบ่อยพอ บริษัท Colt   ได้โฆษณาไว้แต่แรกว่า  ปืนเล็กยาว M16  นั้นต้องการการดูแลรักษาใน  ระดับต่ำ  ดังนั้น เพื่อเป็นการประหยัดก็ไม่ต้องจัดหาอุปกรณ์ทำความสะอาดสำหรับปืนเล็กยาว M16 ใหม่นี้ และทหารที่ใช้ก็ไม่จำเป็นต้องฝึกการทำความสะอาดปืน ดังนี้ทหารจึงไม่ทราบวิธีการทำความสะอาดปืนของพวกเขา และขาดความชำนาญในการทำความสะอาด   ซึ่งเป็นสิ่งที่เลวร้ายมากนอกจากนั้นดินขับยังสร้างปัญหาหนักขึ้นไปอีก โดยทำให้มีความดันสูงขึ้นที่ปากท่อก๊าซ  ทำให้มีอัตราการยิงสูงขึ้น ความแม่นยำจึงลดลง   และชิ้นส่วนต่าง  ๆ   ก็สึกหรอเพิ่มมากขึ้น
ปี ค.ศ.1967-1970  ได้มีความพยายามในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว  ลูกปืน 5.56  มม.  ได้รับการ
เปลี่ยนดินขับให้มีเขม่าเข้าไปในโครงลูกเลื่อนน้อยลง ลำกล้อง รังเพลิงและลูกเลื่อนปืนได้รับการชุบโครเมียม เพื่อป้องกันสนิม ได้มีการจัดหาชุดอุปกรณ์ทำความสะอาดปืนให้ทหาร และจัดการฝึกทำความสะอาดปืนให้ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา  ตอนแรกทหารจะต้องนำพาชุดอุปกรณ์ทำความสะอาดปืนไปต่างหาก แต่ตั้งแต่ปี  ค.ศ. 1970  เป็นต้นมา  ปืน M16A1  ทั้งหมดจะได้รับการผลิตให้มีช่องเก็บอุปกรณ์ทำความ
สะอาดอยู่ในพานท้ายปืน
ปี ค.ศ.1970  ได้มีการนำซองลูกกระสุน 30 นัด เข้าประจำการเพิ่มจากซองลูกกระสุน 20 นัด ของเดิม เพื่อให้เท่ากับซองลูกกระสุนของปืนเล็กยาวโจมตี  AK47 ของ โซเวียต และจีน
ปี ค.ศ.1977-1979  องค์การ  NATO   ได้ยอมรับลูกกระสุน  5.56  มม. x 45 NATO  ซึ่ง เป็นมาตรฐานใหม่ของลูกปืนเล็กประจำกายทหารทดแทนลูกปืน 7.62 มม x51 NATO  ที่เป็นมาตรฐานเดิม  ลูกปืนใหม่นี้ในเบื้องต้นได้พัฒนาร่วมกับปืนกล  FN Minimi กระสุนใหม่นั้นจะหนักกว่ากระสุนเก่าเล็กน้อยและมีความเร็วที่ปากกระบอกปืนต่ำกว่ากระสุนเก่าเล็กน้อย ทั้งนี้เพื่อให้มีระยะยิงหวังผลไกลขึ้นโดยต้องสัมพันธ์กับตัวเกณฑ์
กระสุน (ballistic coefficient) ของกระสุนใหม่ด้วย ลูกปืน SS109 (M855)  จึงต้องการอัตราบิดเกลียวลำกล้องที่เร็วกว่าที่ใช้กับลูกปืน  5.56 มม. x 45 M193    เพื่อให้ลูกกระสุนมีความ เสถียรภาพ คือ การทรงตัวของลูกกระสุนมีระยะคงที่     ลูกปืน   M193   นั้นจะเหมาะสำหรับใช้กับปืนที่มีอัตราบิดเกลียวลำกล้อง 1:12 (1 รอบในระยะ 12 นิ้ว)   และกระสุนปืน   SS109  จะเหมาะสำหรับใช้กับปืนที่มีอัตราบิดเกลียวลำกล้อง 1:7 (1 รอบ ในระยะ 7 นิ้ว )  ผู้ผลิตปืนบางรายก็ผลิตปืน 5.56  มม.    ของตนให้มีอัตราบิดเกลียวลำกล้อง 1:9  ซึ่งก็จะมีทั้งข้อดีและข้อด้อยกับลูกปืนเก่าและใหม่
ปี ค.ศ.1981  บริษัท Colt  ได้พัฒนาปืนต่อจากปืนรุ่น M16A1  ให้เหมาะในการใช้กับกระสุนปืน 5.56 มม. X 45  NATO  SS109 และตั้งชื่อตามลำดับทางทหารว่า ปืน  M16E1
ปี ค.ศ.1982  กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ  ได้เปลี่ยนชื่อจาก  M16A1   เป็น   M16A2

รูปภาพอาวุธปืน  M16A2
รายการปรับปรุงปืน M16A2 จากปืน M16A1
  • ลำกล้องหนาและหนักกว่าลำกล้องปืน M16A1
  • ครอบลำกล้องเป็นทรงกลมแทนที่ทรงสามเหลี่ยมแบบเดิมควบคุมปืนได้ดีขึ้น สับเปลี่ยนกัน ระหว่างบนและล่างได้
  • พานท้ายปืนและด้ามปืนทำด้วยพลาสติกชนิดพิเศษที่มีความทนทานมากขึ้น
  • ศูนย์หลังออกแบบใหม่ ปรับแก้ได้ทั้งซ้าย-ขวา และสูงต่ำ
  • โครงปืนส่วนบนมีแท่นสะท้อนปลอกกระสุนป้องกันไม่ให้โดยหน้าผู้ยิงที่ถนัดซ้าย
  • คันบังคับการยิงเปลี่ยนจากยิงอัตโนมัติเต็มตัวเป็นยิงชุด 3 นัด  เพื่อให้แม่นยำและประหยัด กระสุน
  • ปลอกลดแสงออกแบบใหม่ เพื่อให้สามารถช่วยเหลือในการควบคุมการเบี่ยงเบนของปากกระบอกปืนในขณะยิงชุดได้ดีขึ้น  คือ ปลอกหักเหแรงดัน
  • ลำกล้องมีอัตราบิดเกลียว 1 รอบในระยะ 7 นิ้ว  สำหรับยิงลูกปืน 5.56 มม. x45 NATO หรือลูกปืน SS109 (M855)   ซึ่งจะมีระยะยิงหวังผลสูงขึ้น  และปืน M16A2  นั้นก็ยังใช้ยิงลูกปืน
    M193  ที่ออกแบบสำหรับลำกล้องที่มีอัตราบิดเกลียว 1 รอบในระยะ 12 นิ้วได้


ปี ค.ศ.1983  นาวิกโยธินสหรัฐฯ  ได้รับปืนเล็กยาว 5.56 มม.  M16A2 ไว้ใช้ประจำการ
ปี ค.ศ. 1985  กองทัพบกสหรัฐฯ  ได้รับปืนเล็กยาว 5.56 มม. M16A2  อย่างเป็นทางการ และ
นำไปแจกจ่ายให้แก่ทหารราบ
ปี ค.ศ.1988  บริษัท FN  แห่งประเทศเบลเยียม สาขาย่อยประเทศสหรัฐฯ  ได้ลงนามในสัญญา
กับ กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ  ในการผลิตปืนเล็กยาว 5.56 มม.  M16A2  โดยบริษัท Colt ยังคงพัฒนาและผลิตปืน AR-15  (M16 เป็นชื่อทางทหาร)  ต่อไปเพื่อขายในตลาดพลเรือนและเจ้าหน้าที่รักษากฎหมาย
ปี ค.ศ.1994  กองทัพสหรัฐฯ  ได้รับปืน  M16   รุ่นใหม่เข้าประจำการ ประกอบด้วยปืนเล็กยาว
M16A3 ,  ปืนเล็กยาว  M16A4  ,  ปืนเล็กสั้น  M4  และปืนเล็กสั้น  M4A1  ปืนรุ่นใหม่นี้มีโครงปืนด้านบนราบ และติดรางประกอบอุปกรณ์พิเศษแทนที่หูหิ้วปืน  ซึ่งจะสามารถใช้ประกอบติดตั้งหูหิ้วปืนพร้อมศูนย์หลังหรืออุปกรณ์ช่วยการเล็งยิงแบบต่าง  ๆ  ได้  ปืน  M16A4  นั้นมีระบบบังคับการยิงเหมือนกับปืน M16A2  ในขณะที่ปืน M16A3  ได้เปลี่ยนคันบังคับการยิงจากยิงชุด 3 นัด เป็นยิงอัตโนมัติเต็มตัว  ส่วนปืนเล็กสั้น  M4  และ M4A1   นั้นเป็นปืนที่ได้รับการปรับปรุงต่อจากปืนเล็กสั้น CAR-15  โดยปืน M4  นั้นเป็นแบบปืนเล็กสั้นของปืน M16A2 (มีระบบบังคับการยิงเหมือนกับปืน M16A2)  และปืน M4A1  นั้นเป็นแบบปืนเล็กสั้นของปืน M16A3  (มีระบบบังคับการยิงเหมือนกับปืน M16A3)

ข้อมูลทางเทคนิคของปืน  M16

ปืนแบบ   M16   ทั้งหมดนั้นค่อนข้างจะเหมือนกัน  ทำงานด้วยแก๊ส  ควบคุมการยิงได้ตามความต้องการ ป้อนกระสุนด้วยซองบรรจุกระสุน  แต่ปืน AR-15 ของพลเรือนนั้นเป็นระบบกึ่งอัตโนมัติเท่านั้น
หัวใจของปืน แบบ  M16  คือ  ระบบขับเคลื่อนด้วยแก๊สโดยตรง  ที่พัฒนาโดย  Eugene Stoner   ในตอนต้นคริสต์ทศวรรษที่ 1950  ระบบดังกล่าวไม่ต้องใช้ลูกสูบและก้านสูบช่วยในการขับชุดลูกเลื่อนหลังการยิงในแต่ละนัด  แก๊สร้อนจากการเผาไหม้ของดินขับนั้นจะออกจากรูแก๊ส ก่อนถึงปากลำกล้องเข้าไปในท่อแก๊สสเตนเลส และในโครงนำลูกเลื่อนปืน  โดยปลายท่อแก๊สนั้นจะไปสิ้นสุดที่ท่อรับแก๊สที่อยู่ทางด้านบนของโครงลูกเลื่อน แก๊สร้อนนั้นจะเข้าไปขยายตัวในห้องแก๊สและทำให้ชุดลูกเลื่อนเคลื่อนที่มาทางด้านหลัง  ในขณะเดียวกันนั้นสลักพาลูกเลื่อนก็จะถูกบังคับให้หมุนตัวตามร่องบากบนโครงลูกเลื่อน หัวลูกเลื่อนก็จะหมุนตามและปลดตัวจากการขัดกลอนกับท้ายลำกล้อง  ชุดโครงลูกเลื่อนจะยังคงเคลื่อนที่มาทางด้านหลังต่อไป ตามแรงเฉื่อยและแรงขับที่ตกค้างในลำกล้อง ปลอกกระสุนนั้นจะถูกรั้งออกและชุดโครงนำลูกเลื่อนจะอัดเข้ากับแกนและแหนบผ่อนแรงกระแทกที่อยู่ในกระบอกต่อท้ายในพานท้ายปืน เมื่อโครงลูกเลื่อนเคลื่อนที่กลับเข้าที่ข้างหน้าด้วยกำลังของแหนบผ่อนแรกงกระแทก  ก็จะนำกระสุนนัดบนสุดในซองลูกปืนเข้าไปในรังเพลิงในขั้นสุดท้ายของการเคลื่อนที่ไปข้างหน้า  สลักพาลูกเลื่อนจะถูกบังคับให้หัวลูกเลื่อนหมุนตัวตามร่องบากบนโครงนำลูกเลื่อน  ซึ่งหัวลูกเลื่อนก็จะหมุนตามและขัดกลอนกับท้ายลำกล้อง  หัวลูกเลื่อนนั้นมี เฟืองล็อก 7 ซี่  ซี่ที่ 8  นั้นอยู่ที่ขอรั้งปลอกกระสุน   ในปืน M16A1   ที่ใช้งานทางทหารและปืน AR-15  ในภาคพลเรือนนั้นจะมีคันส่งลูกเลื่อนติดตั้งอยู่ คันส่งลูกเลื่อนนั้นประกอบด้วยปุ่ม ซึ่งจะอัดอยู่กับสปริง  ปลายด้านในนั้นเมื่อกดปุ่มจะขัดกับร่องบากที่อยู่ทางด้านขวาของโครงนำลูกเลื่อน เพื่อดันให้โครงนำลูกเลื่อนเคลื่อนที่ไปข้างหน้าในกรณีที่แหนบผ่อนแรงกระแทกไม่สามารถดันหัวลูกเลื่อนกลับเข้าที่ข้างหน้าจนสุดได้  (เช่นในกรณีที่มีสิ่งสกปรกที่โครงปืนหรือในรังเพลิง)  ปืนนั้นจะไม่สามารถยิงได้ถ้าหัวลูกเลื่อนและโครงนำลูกเลื่อนไม่เข้าที่ข้างหน้าจนสุดในตำแหน่งขัดกลอน ทั้งหัวลูกเลื่อนและโครงนำลูกเลื่อนนั้นจะชุบโครเมียมกันสนิม    ปืนแบบ M16  นั้นจะมีแท่นเหล็กหยุดเลื่อน  ซึ่งจะหยุดโครงนำลูกเลื่อนค้างไว้ในตำแหน่งเปิด  เมื่อยิงปืนนัดสุดท้าย ในการปลดให้กดปุ่มปล่อยโครงนำลูกเลื่อนที่อยู่ทางด้านซ้ายของโครงเครื่องลั่นไกปืนเหนือซองกระสุน คันรั้งลูกเลื่อนรูปตัว “T” นั้นอยู่ทางด้านหลังของโครงลูกเลื่อนเหนือพานท้ายปืน และจะไม่เคลื่อนที่ในขณะยิงปืน
ชุดเครื่องลั่นไก นั้นประกอบด้วย   นกปืน แหนบนกปืน  ไก   แหนบไก กระเดื่องไก       กระเดื่องยิงอัตรโนมัติ เหล็กคันบังคับการยิงอยู่ทางด้านซ้ายของโครงปืนบนด้ามปืนและสะดวกใช้โดยนิ้วโป้งมือขวา มี 3 ตำแหน่ง  คือ  ห้ามไก (safe)  ยิงเดี่ยว (semi)  และยิงอัตโนมัติ (Auto)  (M16A1 และ A3)  หรือยิงชุด 3 นัด (burst) (M16A2 และ  A4)        
ช่องปลอกกระสุนกระสุนออก อยู่ทางด้านขวาของโครงปืน มีฝากันฝุ่นอัดสปริงปิดอยู่  ซึ่งจะเปิดออกโดยอัตโนมัติเมื่อโครงนำลูกเลื่อนเคลื่อนที่มาทางด้านหลัง    ปืน M16A2 จะมีแท่นสะท้อนปลอกกระสุนทรงสามเหลี่ยมอยู่บนโครงปืนทางด้านหลังช่องคัดปลอกกระสุน ช่วยให้ความปลอดภัยเมื่อยิงด้วยมือซ้าย
ปืนแบบ  M16  นั้นป้อนกระสุนด้วยซองกระสุนอะลูมิเนียม   20 นัด และ  30 นัด  ปัจจุบันกำลังจะเปลี่ยนเป็นแบบเหล็กกล้า เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้อนกระสุน  ในตลาดพลเรือนนั้นมีซองกระสุนหลายแบบและขนาดตั้งแต่ 5 นัด  ไปจนถึงซองกระสุนแบบ “C” (c-Mag)  100 นัด  และ 120  นัด
โครงปืนทำด้วยอะลูมิเนียมอัลลอย  แบ่งออกเป็น 2 ส่วน  คือ โครงปืนส่วนบน คือ โครงลูกเลื่อน และโครงปืนส่วนล่าง คือ โครงเครื่องลั่นไก  โดยใช้สลัก  2 ตัว ในการถอดปืน ให้ดันสลักปืนตัวหลังที่อยู่บนด้ามปืนไปทางขวาจนสุดแล้วยกโครงลูกเลื่อนส่วนบนขึ้นถอดโครงนำลูกเลื่อนและคันรั้งลูกเลื่อนออก จากโครงปืนส่วนบน ถอดสลักสลักปืนตัวหน้าออกแล้วแยกโครงปืนสองส่วนออกจากกัน  ข้อได้เปรียบของปืนแบบนี้  คือ  จะสามารถยกชุดโครงลูกเล่อนส่วนบนของปืนกระบอกหนึ่งมาประกอบกับโครงลั่นไกส่วนล่างของปืนอีกกระบอกหนึ่งได้อย่างลงตัว  เนื่องจากชุดโครงโครงลูกเลื่อนส่วนบนนั้น มีแบบลำกล้องตั้งแต่ความยาว  7 นิ้ว  ถึง  24 นิ้ว  ทั้งแบบปกติและแบบหนาหนักในขนาดความกว้างปากลำกล้อง ตั้งแต่  .17 Remington  ไปจนถึง .50  BMG (12.7 มมx99)   ชุดโครงเครื่องลั่นไกส่วนล่างนั้นก็มี แบบชุดเครื่องลั่นไก  ชุดรับผ่อนแรงกระแทก  ด้ามปืน  พานท้ายและอุปกรณ์อื่น ๆ ที่หลากหลาย  ทั้งหมดนี้จะเป็นข้อได้เปรียบและมีความเหมาะสมสำหรับใช้งาน ตั้งแต่หน่วยรบพิเศษไปจนถึงหน่วยรักษากฎหมาย     ครอบลำกล้อง และด้ามปืน ทำด้วยพลาสติกสีดำ     เดิมในปืน AR-15 และ M16A1  และปืนรุ่นต่อ ๆ มาได้เปลี่ยนครอบลำกล้องเป็นทรงกลม  สามารถประกอบสลับกันบนและล่างได้  พานท้ายปืน M16A2 นั้นเหมือนกับพานท้ายปืน M16A1แต่จะยาวกว่าเล็กน้อย ข้อเสียเปรียบของปืน ระบบ  สโตนเนอร์  คือ ไม่สามารถเปลี่ยนไปใช้พานท้ายแบบพับข้างได้  ต้องใช้แบบปรับเลื่อนเท่านั้น  ซึ่งก็จะทำให้ความยาวปืนลดลงประมาณครึ่งหนึ่งของระยะพานท้ายมาตรฐาน  โดยทั่วไปปืน M16 จะประกอบสายสะพายปืนและดาบปลายปืนได้  ปลอกลดแสงเดิมของปืน M16  นั้นเป็นแบบสามง่าม  มีช่องเปิด 3 ช่อง แต่แบบใหม่นั้นเปลี่ยนเป็นแบบกรงนก  ซึ่งจะมีช่องเปิด 4 ช่อง ในปืน M16A1 และ  5 ช่อง   ในปืน M16A2  ช่วยลดอาการเงยขึ้นของปากกระบอกปืนในระหว่างการยิง
ทั้งปืน    M16A1 ,  M16A2  ,  M16A3   และ   M16A4           นั้นที่ใต้ลำกล้องสามารถประกอบเครื่องยิงลูกระเบิด   40 มม.  M203  ได้  โดยถอดครอบลำกล้องออกแล้วประกอบเครื่องยิงลูกระเบิดแทนที่ และต้องนำศูนย์เครื่องยิงลูกระเบิดไปประกอบติดตั้งที่หูหิ้วปืน
ศูนย์มาตรฐานของปืน แบบ M16   ประกอบด้วยศูนย์หน้าและศูนย์หลัง  ศูนย์หน้านั้นเหมือนกันทุกรุ่น โดยเป็นแบบเสาตั้ง มีโครงกันกระแทกติดตั้งอยู่บนแท่นศูนย์หน้า   ศูนย์หลังปืน  M16A1  นั้นพับได้ ติดตั้งอยู่ในหูหิ้วปืน  ปรับแก้ทางข้างได้และปรับตั้งระยะยิงได้ 2 ระยะ    ศูนย์หลังปืน M16A2 นั้นก็พับได้แต่จะใช้ประโยชน์ต่างกันตรงที่รูเล็กใช้ในเวลากลางวัน และรูใหญ่ใช้ในเวลาแสงน้อย  การปรับระยะกระทำได้โดยการหมุนปุ่มปรับศูนย์ที่ด้านล่างของศูนย์หลัง      ปืน M16A3  และ   M16A4    นั้นมีศูนย์หลังเหมือนกับปืน  M16A2  แต่หูหิ้วปืนนั้นจะถอดออกได้ และมีรางประกอบอุปกรณ์พิเศษติดอยู่ทีด้านบนโครงปืน สามรถประกอบติดตั้งอุปกรณ์ช่วยการเล็งยิงได้หลายชนิด

คุณลักษณะเฉพาะ
คุณลักษณะเฉพาะ
M16A1
M16A2,M16A3,
M16A4
ระบบการทำงาน
ทำงานด้วยแก๊ส
ระบบหน่วงเวลา
ขัดกลอนด้วยหัวลูกเลื่อนขัดกลอน
กระสุนปืนที่ใช้
5.56 มม.x45 , M193
5.56 มม.x45 NATO/M855
ความยาวลำกล้อง
20 นิ้ว
ระยะบิดเกลียวลำกล้องครบรอบ
12 นิ้ว
7 นิ้ว
อัตราเร็วในการยิง
650-750 นัด/นาที
700-950  นัด/นาที
อัตราการยิงหวังผลอัตโนมัติ
150-200 นัด/นาที
150-200 นัด/นาที(A3)
อัตราการยิงหวังผลเป็นชุด
-
90  นัด/นาที (A2&A4)
อัตราการยิงหวังผลครั้งละนัด
45-65 นัด/นาที
45 นัด/นาที
อัตราการยิงหวังผลสูงสุด
12-15 นัด/นาที
12-15 นัด/นาที
ความเร็วกระสุนที่ปากกระบอกปืน
990 ม./วินาที
940 ม./วินาที
น้ำหนักปืนไม่รวมซองลูกปืน
2.89 กก.
ประมาณ 3.4 กก.
ซองบรรจุกระสุน
20 , 30นัด
20 , 30 นัด
ความยาวปืน
98.6 ซม.
100.66 ซม.
ระยะยิงหวังผล
460 ม.
600 ม.
ระยะยิงไกลสุด
2,653 ม.
3,600 ม.

          ในปี ค.ศ.1994     ความคิดเดิมในการเปลี่ยนจากปืนพกในมือทหารเป็นปืนยิงประทับไหล่ที่มีประสิทธิภาพมากกว่าก็หวนขึ้นมาในกองทัพสหรัฐฯ อีกครั้ง จริง ๆ แล้วแนวความคิดนี้สามารถย้อนกลับไปได้ถึงปี ค.ศ. 1941  ซึ่งในสมัยนั้นได้ใช้ปืนเล็กสั้น M1 นั้นคือ ความคิดดี ๆ  ย่อมไม่สูญหายตายจากไป  ดังนั้น กองทัพบกสหรัฐฯ  จึงได้รับปืน  Colt Model 720  ไว้ใช้ในประจำการ (รุ่นลำกล้องสั้นของปืนเล็กยาว M16A2 ชิ้นส่วนอะไหล่ประมาณ 80% นั้นใช้ทดแทนกันได้)   และได้เปลี่ยนชื่ออย่างเป็นทางการเป็น ปืนเล็กสั้น 5.56 มม. M4  ปืนนี้ได้มีความตั้งใจจะใช้ทดแทนปืนพก M9 (Bertta 92FS)  ปืนกลมือรุ่นโบราณ  M3A1  และปืนเล็กยาว  M16A2  บางส่วน (แผนนี้อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงในกองทัพบกสหรัฐฯ เนื่องจากพัฒนาการของปืน XM-29 OICW และปืนเล็กสั้น XM8)
ปืนเล็กสั้น 5.56 มม.  M4  นั้นมีขนาดเล็ก กะทัดรัด น้ำหนักเบา ใช้งานและนำพาได้สะดวก หน่วยบัญชาการปฏิบัติการพิเศษสหรัฐฯ (US Special Operations Command , USSOCOM)  จึงได้เล็งปืน M 4 นี้ไว้เป็นปืนอเนกประสงค์  สำหรับนักรบพิเศษทั้งหลายที่ต้องการใช้ปืนขนาดเล็ก กะทัดรัด สำหรับการสู้รบในพื้นที่จำกัด (Close  Quarters Combat, CQB)
เพื่อให้เป็นไปตามความต้องการดังกล่าว  บริษัท Colt  ซึ่งได้ลงนามในสัญญาการผลิตปืน M 4  ใหม่ ตามปืน M16A3  ที่มีโครงปืนสวนบนแบนราบและติดรางประกอบอุปกรณ์พิเศษ แบบ Picatinny  แทนที่หูหิ้วปืนของปืน M16A2/M4  เดิม  สิ่งที่เปลี่ยนแปลงอย่างอื่นในปืน M4A1  เมื่อเปรียบเทียบกับปืน  M4  คือ  ชุดเครื่องลั่นไกนั้นได้ปรับเปลี่ยนเป็นยิงอัตโนมัติแทนที่จะยิงชุด 3 นัด
ปืนเล็กสั้น M4A1 นั้นเป็นที่นิยมใช้งานในหน่วยปราบปรามการก่อการร้าย และหน่วยรบพิเศษชั้นนำของโลก เนื่องจากมีขนาดเล็ก กะทัดรัด มีความแม่นยำ และมีอำนาจการยิงที่รุนแรงเหมาะสำหรับการสู้รบในพื้นที่จำกัด (CQB)  และการรบในเมือง    ถึงแม้ว่าปืนเล็กสั้น M4A1  นั้นจะมีระยะยิงหวังผลไม่สูงเท่ากับปืน M16 แต่ในทางทหารได้มีการวิเคราะห์แล้วว่าการปะทะกันด้วยปืนเล็กในระยะเกินกว่า 300 เมตร นั้นเป็นเรื่องที่ไม่จำเป็น
บริษัท Colt  ได้ผลิตปืนเล็กกล หรือปืนกลมือ รุ่น M4 Commando  ออกมาให้เลือกใช้งานด้วยโดยมีคุณลักษณะเหมือนกับปืน M4A1 แต่ได้ปรับลำกล้องให้สั้นลงเหลือ 29 ซม.  ทำให้ปืนมีความยาว เมื่อปรับเลื่อนพานท้ายปืนออก 76 ซม. และ 68 ซม.  เมื่อปรับเข้า  มีน้ำหนักเมื่อได้บรรจุลงลงเหลือ 2.44 กก.  และ 2.89 กก.  เมื่อบรรจุด้วยซองลูกปืนพร้อมลูกปืน 30 นัด

ชุดอุปกรณ์พิเศษ  SOPMOD

กองทัพเรือสหรัฐฯ  โดย  Naval  Surface Warfare Center   ได้พัฒนาชุดอุปกรณ์พิเศษ (Special Operations Peculiar Modification รุ่นที่ 1 (SOPMOD I) (SOPMOD II  กำลังอยู่ในระหว่างการพัฒนา)  สำหรับปืน M4A1  เป็นกรณีพิเศษเพื่อใช้ในหน่วยบัญชาการปฏิบัติการพิเศษสหรัฐฯ  ประกอบด้วยปืน  M4A1  รางประกอบอุปกรณ์พิเศษ และระบบครอบลำกล้อง ซึ่งได้รับการพัฒนาโดยบริษัท Knigh’s  Armament Company (KAC)  เพื่อแทนที่ครอบลำกล้องมาตรฐานและอุปกรณ์พิเศษอีกมากมายหลายชนิดที่ได้รับการออกแบบมาโดยให้ถอดเปลี่ยนใช้งานตามความต้องการของภารกิจที่มีความหลากหลายประกอบด้วย ด้ามจับปืน ด้านหน้า กล้องเล้งทางยุทธวิธีในเวลากลางวันกำลังขยาย 4 เท่า Trijicon ศูนย์หลังสำรอง KAC  สายสะพายปืน อุปกรณ์ชี้เป้าด้วยอินฟราเรดเลเซอร์  AN/PEQ2  ซึ่งจะใช้งานร่วมกับกล้องหรือแว่นตรวจการณ์ในเวลากลางคืน  อุปกรณ์ชี้เป้าด้วยเลเซอร์ที่มองเห็นได้  Trijicon  อุปกรณ์เก็บเสียง KAC   พานท้ายปืนแบบปรับเลื่อนได้ และมีช่องจัดเก็บอุปกรณ์ที่จำเป็น เช่น แบตเตอรี่สำรอง และอุปกรณ์ทำความสะอาดปืน เครื่องยิงลูกระเบิด 40  มม. M203 (ปรับปรุงใหม่โดยมีลำกล้องสั้นลงและปรับปรุงอุปกรณ์ช่วยการเล็งยิง)  กล้องเล็งในเวลากลางคืนกำลังขยาย 2.25 เท่า  ทั้งหมดบรรจุอยู่ในหีบบรรจุช่วยอำนวยความสะดวกในการนำพา ปัจจุบันชุดอุปกรณ์พิเศษนี้มีใช้ในหน่วยปฏิบัติการพิเศษต่าง ๆ ซึ่งได้แก่ เรนเจอร์  และเดลต้า ฟอร์ซ  กองทัพบกสหรัฐฯ  เนวี่  ซีล  กองทัพเรือสหรัฐฯ  นาวิกโยธินสหรัฐฯ   หน่วย SAS   กองทัพบกอังกฤษ และหน่วย  SASR  กองทัพบกออสเตรเลีย

Image:SOPMOD 2-2005.jpg


รูปภาพ 1 อาวุธปืน M4รูปภาพ 2 อาวุธปืน M4 A1


รูปภาพอาวุธปืน  M4A1 ควบ M 203

คุณลักษณะเฉพาะ
คุณลักษณะเฉพาะ
ปืนเล็กสั้น 5.56 มม.  M4/M4A1
ระบบการทำงาน
ทำงานด้วยแก๊ส
ระบบหน่วงเวลา
ขัดกลอนด้วยหัวลูกเลื่อนหมุนขัดกลอน
ลูกปืนที่ใช้
5.56 มม.x45  NATO/ M855
ความยาวลำกล้อง
37  ซม.
ระยะบิดเกลียวลำกล้องครบรอบ
7  นิ้ว
อัตราเร็วในการยิง
700-950 นัด/นาที
ความเร็วกระสุนที่ปากกระบอกปืน
884  ม./วินาที
น้ำหนักปืนไม่รวมซองลูกปืน
2.68  กก.
น้ำหนักปืนพร้อมซองลูกปืนบรรจุ 30 นัด
3.13 กก.
ความยาวปืนเมื่อยืดพานท้ายปืนออกจนสุด
84 ซม.
ความยาวปืนเมื่อเก็บพานท้ายปืนเข้าจนสุด
76 ซม.
ระยะยิงหวังผล
600 ม.
ระยะยิงไกลสุด
3,600 ม.
An M4 just after firing, with an ejected case in mid-air; the M203 and M68 CCO are attached

บทสรุปของ  M16 และ  M4

นับได้ว่าบริษัท  Colt  นั้นประสบผลสำเร็จอย่างงดงามจากการซื้อแบบปืน AR-15  ที่ได้รับการออกแบบ โดย Eugene  Stoner  ตั้งแต่ปี ค.ศ.1958  ไปพัฒนาจนเป็นยอดปืนที่ผ่านการยอมรับใช้งานในกองทัพสหรัฐฯ  และมิตรประเทศทั่วโลกซึ่งคาดว่ามีจำนวนรวมกันประมาณ  15 ล้านกระบอก  ปืนแบบล่าสุด  คือ  M16A3 , M16A4 , M4 และ  M4A1  ที่เข้าประจำการในกองทัพสหรัฐฯ  เมื่อปี ค.ศ.1994  นั้นยังมีอนาคตที่สดใส  ถึงแม้จะมีคู่แข่งคอยโจมตีเรื่องระบบการทำงานของปืนที่ไม่ค่อยน่าเชื่อถือ  และมีจำนวนนัดนับตั้งแต่เริ่มยิงจนถึงปืนติดขัดต่ำจนต้องทำความสะอาดปืนกันบ่อย ๆ ก็ตาม อย่างไรก็ตามสัญญาของ  Colt  กับรัฐบาลสหรัฐฯ  ก็จะสิ้นสุดในปี ค.ศ.2009  นี้โดยมี  HK ได้สัญญาฉบับใหม่ไปกอดแทน
**************************************

หนังสือ สุดยอดปืนเล็ก โดย น.อ.ศุภชัย ธนสารสาคร ผู้เขียน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น